โมดริชกับโครส เปรียบเสมือนโค้ชในสนาม คอยสั่งการลูกทีม ดึงจังหวะเกม เติมเต็มช่องว่าง สร้างโอกาสให้กับดาวรุ่งได้อย่างเฉียบคม ที่คอยประคบประหง คอยดูแลนักเตะดาวรุ่งเอเดนซาร์ เบลลิงแฮม และ เอ็ดวาร์โด้ คามาวินกา ฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมของ สองจอมปราชญ์ ผนวกกับความกระหายของ ดาวรุ่ง ทำให้ เรอัล มาดริด กลายเป็นทีมที่เล่นได้ยากและน่ากลัว เพราะบาร์ซ่าเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเกินไป และกำลังเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่
โมดริชกับโครส คอยดูแลนักเตะดาวรุ่ง บาร์ซ่าเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเกินไป
อิวาน ราคิติช กองกลางชาวโครเอเชียที่ปัจจุบันค้าแข้งในซาอุดีอาระเบีย ได้เล่าถึงเรื่องราวการย้ายมาบาร์เซโลนา และแรงผลักดันที่มุ่งมั่นสู่ชัยชนะจนนำไปสู่ “การแข่งขันแชมเปียนส์ลีกที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์” ของทีม
อิวาน ราคิติช เล่นให้กับบาร์เซโลนาเป็นเวลา 6 ฤดูกาล หลังจากย้ายมาจากเซบียาจนกลับไปอยู่กับสโมสรอันดาลูเซียอีกครั้ง เขามีช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมกับสโมสรมากมาย แต่ก็มีช่วงเวลาที่น่ากลัวไม่แพ้กัน
นักเตะโครเอเชียได้ให้สัมภาษณ์ในพ็อดแคสต์ “MicsPod” ของซาอุดีอาระเบีย เกี่ยวกับการมาถึงบาร์เซโลนาและเรื่องราวต่าง ๆ ภายในห้องแต่งตัว เขายังพูดจาดูถูกบาร์เซโลนาเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับเรอัลมาดริด
โมดริชและโครส ยังอยู่กับสโมสร คอยดูแลนักเตะดาวรุ่ง
“เรอัล มาดริด เปลี่ยนผ่านรุ่นสู่รุ่นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โมดริชและโครส ยังอยู่กับสโมสร คอยดูแลนักเตะดาวรุ่ง ในขณะที่บาร์เซโลนา มีการเปลี่ยนแปลงมากเกินไปและรวดเร็วเกินไป“ เขายอมรับ
ดาวเตะทีมชาติโครเอเชีย พูดถึงห้องแต่งตัว โดยเฉพาะสามกองหน้าที่นำเกมรุก “ผมไม่จำเป็นต้องอธิบายให้เมสซี่เล่นอย่างไร ผมต้องรู้ว่าจะวางตำแหน่งตัวเองในเกมรุกอย่างไร เพื่อให้เขาอยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบมากขึ้น” เขากล่าวเสริม
แม้จะมีเสียงชื่นชมต่อเมสซี่ แต่ราคิติชยังคงยืนหยัดเคียงข้างเนย์มาร์ โดยเขากล่าวว่า “เนย์มาร์เล่นฟุตบอลเหมือนกับการเต้นรำ ผมคิดว่าเขายังมีอะไรให้เราอีกมาก“
ราคิติช ยอมรับว่า ฤดูกาล 2014/15 นั้น เป็น “ฤดูกาลที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์แชมเปียนส์ลีก”
หลังจากบาร์เซโลน่าสามารถเอาชนะแชมป์จากลีกใหญ่ ๆ ในยุโรปได้ทั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้น ยังไม่เพียงพอ “ทีมของเราเองก็แพ้แชมเปียนส์ลีกในปี 2018 และ 2019 คู่แข่งสมควรได้รับชัยชนะ แน่นอน แต่ผมไม่คิดว่าเราพยายามเต็มที่ อาจจะเพราะเราเริ่มเบื่อกับการชนะ เมื่อชนะมาก ๆ ก็เริ่มเสียสมาธิ ไม่ใส่ใจรายละเอียด ซึ่งนั่นแหละคือจุดที่ทำให้เราพ่ายแพ้“